SCG

ความท้าทายและโอกาสทางธุรกิจ

ในยุคที่ธุรกิจต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี กฎระเบียบ หรือปัจจัยทางเศรษฐกิจ การบริหารจัดการความเสี่ยงและภาวะวิกฤต จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

กลุ่มราชพัฒนาให้ความสำคัญกับแนวทางการบริหารความเสี่ยงเชิงรุก ผ่านการวิเคราะห์และประเมินปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน พร้อมพัฒนาแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan, BCP) เพื่อรองรับภาวะวิกฤตและมั่นใจว่าธุรกิจสามารถปรับตัวและดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องในทุกสถานการณ์ด้วยการบริหารความเสี่ยงที่เป็นระบบและมีประสิทธิผล บริษัทมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างยั่งยืน

แนวทางการบริหารจัดการและการสร้างคุณค่า

การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)

บริษัทตระหนักและให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงโดยมีการประเมิน วิเคราะห์ ติดตาม ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เพื่อพิจารณาโอกาสในการดำเนินธุรกิจ หรือความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจพลังงาน ได้แก่ ความเสี่ยงเกิดผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) ทำให้ราคาพลังงานมีความผันผวนและสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงานที่ปรับตัวและผลักดันการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตพลังงาน โดยเฉพาะในด้านพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และเทคโนโลยีการเก็บพลังงาน (Energy Storage) จะมีผลกระทบต่อโครงสร้างการผลิตพลังงาน การลงทุนที่เพิ่มขึ้นในด้านพลังงานสะอาดจะเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับธุรกิจ

เพื่อให้การบริหารจัดการความเสี่ยงและการรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถดำรงขีดความสามารถในการแข่งขันในเชิงธุรกิจในสภาวะที่มีความไม่แน่นอนและผันผวนอย่างรุนแรง บริษัทได้นำกระบวนการบริหารความเสี่ยงของ The Committee of Sponsoring Organizations of the Treadway Commission Enterprise Risk Management 2017 (COSO ERM) ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากลมาประยุกต์ใช้ในการกำหนดกรอบความเสี่ยงและทิศทางในการปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวโน้มตลาดพลังงาน จัดการโอกาสและความเสี่ยงของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเน้นการบริหารที่ครอบคลุมการบริหารความเสี่ยงทั้งกลุ่มบริษัท ภายใต้กรอบความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Appetite) ในด้านการวางแผนกลยุทธ์ (Strategic) การเงิน (Financial) การปฏิบัติการ (Operation) กฎหมายและความสอดคล้อง (Compliance) รวมถึงความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กร และผลการบริหารความเสี่ยงมีการรายงานผลการบริหารความเสี่ยงต่อคณะกรรมการธรรมาภิบาลและบริหารความเสี่ยง และคณะกรรมการบริษัทฯ อย่างสมํ่าเสมอ เพื่อให้การกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กรมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

การบริหารความเสี่ยงด้านความยั่งยืน

คณะกรรมการธรรมาภิบาลและบริหารความเสี่ยง ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงดำเนินการประเมินและวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงและโอกาสจากประเด็นด้านความยั่งยืนที่อาจส่งผลกระทบต่อองค์กร รวมถึงบริษัทย่อยและโครงการต่างๆ ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก พร้อมทั้งพิจารณาแผนจัดการความเสี่ยง โดยประยุกต์ใช้การบริหารความเสี่ยงขององค์กรกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) ดังนี้

ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ และธรรมาภิบาล

ปัจจัยเสี่ยงและโอกาส

สภาพเศรษฐกิจ ความผันผวนของราคาน้ำมันที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำ อาจส่งผลกระทบต่อปริมาณความต้องการใช้พลังงาน ราคาวัตถุดิบหลักและอัตราแลกเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐที่อาจมีผลต่อทิศทางการพัฒนาธุรกิจ


การบริหารจัดการความเสี่ยง

  • กำหนดกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและการลงทุนให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลง
  • วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อเป้าหมายขององค์กร
  • จัดทำแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น
  • การติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยเสี่ยงและโอกาส

การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของนวัตกรรมและเทคโนโลยีในภาคพลังงานส่งผลกระทบทั้งในแง่ของโอกาสและความเสี่ยงต่อธุรกิจ หากองค์กรไม่สามารถปรับตัวหรือลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่การสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ การพึ่งพาเทคโนโลยีเก่าหรือระบบที่ล้าสมัยอาจลดประสิทธิภาพการดำเนินงาน ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงินของธุรกิจ


การบริหารจัดการความเสี่ยง

  • ศึกษาแนวทางนวัตกรรมในธุรกิจพลังงานและประเมินความเสี่ยงจากการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่และนวัตกรรม การวิเคราะห์ผลตอบแทนที่คาดหวัง
  • ติดตามข้อมูล ข่าวสาร และประเมินสถานการณ์เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ

ปัจจัยเสี่ยงและโอกาส

เทคโนโลยีและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศส่งเสริมให้การทำงานทางธุรกิจสะดวก รวดเร็ว แข่งขันได้ สร้างความแตกต่างทางธุรกิจ โอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ มากขึ้น การวิวัฒนาการด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนและรุนแรงขึ้น จึงเป็นช่องทางให้มีการโจมตีทางไซเบอร์บนฐานข้อมูลรวมของบริษัท การสูญเสียข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ข้อมูลทางการเงิน ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง ความเชื่อมั่นและผลการดำเนินงานของบริษัท จึงเป็นสิ่งท้าทายเพื่อลดผลกระทบ บริษัทจึงกำหนดมาตรการการจัดการความเสี่ยงที่สำคัญ ดังนี้

  • กำหนดเปลี่ยนอุปกรณ์ระบบไอที ทุก 3-5 ปี โดยรุ่นที่นำมาเปลี่ยนต้องมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น รวมถึงมีระบบรักษาความปลอดภัยของระบบป้องกันผู้บุกรุก และการสำรองข้อมูล
  • ติดตั้งระบบและโปรแกรมขึ้นสูงเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลป้องกันการถูกภัยคุกคามทางไซเบอร์ อาทิ ระบบ Deep Discovery Inspector, WAF, Hyper Converged Infrastructure (HCI) Server Dell VXRail, Data Leak Prevention (DLP), ระบบการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบอัจฉริยะ Cyber Command ตามที่ได้เปิดเผยข้อมูลไว้ในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1 One Report) หัวข้อ “การบริหารจัดการความเสี่ยง”

การบริหารจัดการความเสี่ยง

  • มีนโยบายรักษาความมั่นคงปลอดภัยและเทคโนโลยีสารสนเทศ มีการจัดตั้งคณะทำงานแต่ละพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อม พร้อมทั้งอบรมให้ความรู้ นโยบาย และ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ.2562
  • มีการสื่อสารประชาสัมพันธ์ความรู้กฎหมายและข้อแนะนำในการใช้งานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศผ่านหน้าจอ เมื่อมีการใช้งานคอมพิวเตอร์ หรือ Intranet เพื่อให้พนักงานทุกคนรับทราบและตระหนักถึงความสำคัญของ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ.2562

ปัจจัยเสี่ยงและโอกาส

การนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้และเปิดเผยอย่างไม่ถูกต้อง หากดำเนินการไม่รัดกุมเพียงพอ อาจทำให้เกิดความสูญเสียและส่งผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจปัจจุบัน ต้องปฏิบัติตามการประกาศกฎหมายหากมีการเปลี่ยนแปลง


การบริหารจัดการความเสี่ยง

  • บริษัทมีการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด และติดตามตรวจสอบเป็นระยะ ๆ รวมถึงมีการตรวจสอบติดตามกฎหมาย
  • มีนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Policy) เพื่อรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล
  • มีโปรแกรมในการขอความยินยอม (Consent) ทั้งผ่านแบบฟอร์มและVerbal ให้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

ความเสี่ยงด้านสังคม

ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม

ปัจจัยเสี่ยงและโอกาส

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และภัยธรรมชาติ จากปัญหาโลกร้อนมีแนวโน้มทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่าง ๆ ตามมา ทั้งทางตรง เช่น ภัยพิบัติธรรมชาติ ปัญหาภัยแห้ง และทางอ้อม เช่น การกำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวดและมาตรฐานใหม่ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เป็นต้น กลุ่มราชพัฒนา เล็งเห็นความสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงผลักดันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรมสอดคล้องกับประเทศทั่วโลก ต่างเร่งแก้ไขวิกฤตการณ์โลกร้อนเป็นวาระเร่งด่วน และมีนโยบายมุ่งเน้นการพัฒนาและลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน


การบริหารจัดการความเสี่ยง

  • กำหนดนโยบายการจัดการเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแต่งตั้งคณะทำงานด้านการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจกขององค์กร
  • กำหนดเป้าหมายด้านการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปีค.ศ. 2050 และรายงานผลการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ต่อคณะกรรมการความยั่งยืน และคณะกรรมการบริษัท ตามลำดับ
  • การประเมินปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกขององค์กรโดยขึ้นทะเบียนบัญชีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product: CFP) กับองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) หรือ อบก.
  • ติดตามข้อมูล ข่าวสาร และประเมินสถานการณ์ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินความเสี่ยงขององค์กร
  • สื่อสารให้พนักงานทุกระดับตลอดจนผู้มีส่วนได้เสีย ตระหนักถึงความสำคัญและเข้ามีส่วนร่วมใน มาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ปัจจัยเสี่ยงและโอกาส

การปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และมีหน่วยงานรับผิดชอบติดตาม วิเคราะห์ผล มีการติดตามการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถกำหนดมาตรการและแผนรองรับได้ทันท่วงที เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้านสิ่งแวดล้อม


การบริหารจัดการความเสี่ยง

  • บริหารงานด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (ISO 14001)
  • ดำเนินตามนโยบายคุณภาพ สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยและอนุรักษ์พลังงาน
  • จัดทำคู่มือด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานและติดตามตรวจสอบการปฏิบัติงาน
  • การจัดทำแผนฉุกเฉินและจัดทำคู่มือการปฏิบัติงาน ดำเนินการฝึกอบรมและการฝึกซ้อมตามแผนการทดสอบเครื่องมือและระบบเตือนภัยตามแผนงานที่กำหนด และการปฏิบัติตามคู่มืออย่างเคร่งครัด
  • รายงานผลการติดตามมาตรการลดผลกระทบและติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานกำกับกิจการพลังงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ (Emerging Risk)

ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ หรือ Emerging Risk มีลักษณะเป็นสิ่งใหม่ไม่เกิดขึ้นมาก่อน มีความไม่แน่นอนสูง โดยทั้งโอกาสที่เกิดขึ้นและผลกระทบค่อนข้างยากที่จะประเมินได้ชัดเจน เนื่องจากเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตและอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทในอีก 3-5 ปีข้างหน้า การให้ความสำคัญและคำนึงถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของสภาวะเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยี เป็นสิ่งที่บริษัทต้องดำเนินการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจได้เช่นกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี นโยบายภาครัฐเกี่ยวกับการพัฒนาด้านพลังงาน นวัตกรรมการปรับตัวและลดก๊าซเรือนกระจก ความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท ดังนี้

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว อาจส่งผลกับการดำเนินธุรกิจพลังงาน โดยการนำ AI มาใช้ในธุรกิจโรงไฟฟ้ามีโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนและช่วยในการคาดการณ์ปัญหาล่วงหน้า พัฒนาการดำเนินงานและการบริหาร อย่างไรก็ตามหากนำไปใช้ดูแลและควบคุมระบบอัตโนมัติในโรงไฟฟ้า เช่น ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจากเซนเซอร์และระบบควบคุมในโรงไฟฟ้า เพื่อคาดการณ์ความล้มเหลวหรือการสึกหรอของเครื่องจักรล่วงหน้า (predictive maintenance) อาจช่วยลดเวลาหยุดทำงานและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต แต่อาจเกิดความไม่แน่นอนจากการตัดสินใจของระบบอัตโนมัติหากข้อมูลที่ป้อนเข้าไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ทำให้การตัดสินใจของระบบ AI ผิดพลาด และส่งผลให้เกิดความเสียหายหรือหยุดชะงักของระบบโรงไฟฟ้า รวมถึงเกิดความเสี่ยงในด้านความปลอดภัยไซเบอร์จากการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย นอกจากนี้ หากใช้ AI ในกระบวนการทำงานอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านแรงงานจากลดความจำเป็นของผู้ปฏิบัติงานบางตำแหน่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้เกิดการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะใหม่ๆ การพิจารณานำ AI มาประยุกต์ใช้ จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนการลงทุน และการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระยะยาว

การบริหารความเสี่ยง

  • ติดตามการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่สนับสนุนและสอดคล้องกับการดำเนินงานและการผลิตไฟฟ้า
  • ศึกษา และพิจารณา AI ที่สามารถนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนของกระบวนการดำเนินงาน
  • ให้ความรู้พนักงานเพื่อเตรียมการนำ AI มาใช้เพิ่มศักยภาพขององค์กร

การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตพลังงาน ส่งผลให้บริษัทมีโอกาสปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือนำมาใช้ในการขยายธุรกิจพลังงาน อย่างไรก็ตามนวัตกรรมที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา อาจยังมีความไม่แน่นอนด้านเทคโนโลยี ประสิทธิภาพ ความปลอดภัยและความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้การเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition Risk) จากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสีเขียว การเปลี่ยนผ่านพลังงาน เป็นความเสี่ยงใหม่ที่ท้าทายธุรกิจโรงไฟฟ้าในทุกมิติ ตั้งแต่ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น การแข่งขันที่รุนแรง และความไม่แน่นอนของกฎระเบียบ อย่างไรก็ตาม หากสามารถปรับตัวโดยการลงทุนในพลังงานสะอาด นำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพ และวางกลยุทธ์ด้าน ESG อย่างเหมาะสม ธุรกิจโรงไฟฟ้าจะสามารถอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

ปัจจัยความเสี่ยงใหม่ที่อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจพลังงานและมาตรการป้องกัน ดังนี้

  • นวัตกรรมเทคโนโลยีการผลิตพลังงาน : ติดตามการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี และศึกษาความเป็นไปได้ในการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการดำเนินงาน ควบคุมการผลิตและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า รวมถึงโครงการพลังงานแสงอาทิตย์
  • เทคโนโลยีและการแข่งขันด้านพลังงานหมุนเวียน ส่งผลต่อต้นทุน เช่น โซลาร์เซลล์และพลังงานลม ลดลงอย่างรวดเร็ว : ติดตามราคาวัสดุอุปกรณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อโครงการ และทบทวนผลการศึกษาความเป็นไปได้โครงการใหม่
  • เทคโนโลยีการกักเก็บพลังงานขั้นสูง: ศึกษาการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเสถียรภาพการผลิตและส่งจ่ายพลังงานอย่างต่อเนื่อง
  • การเปลี่ยนผ่านพลังงานอาจส่งผลทำให้โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่ด้อยค่า (Stranded Assets) หากต้องปิดตัวก่อนอายุการใช้งาน : บริหารการดำเนินงาน ติดตามการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ กฎหมายและแผนพัฒนาไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
  • นวัตกรรมการพลังงานต้องใช้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงานสะอาด: วางแผนสรรหาและพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้สอดคล้องกับเป้าหมายของธุรกิจ
  • เชื้อเพลิงพลังงาน ส่งเสริมโครงการพลังงานหมุนเวียนฟอสซิลและการมุ่งสู่พลังงานสะอาด โดยพัฒนาและลงทุนในพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล

แผนบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจ (Business Continuity Plan)

บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาและบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจยังคงดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดชะงัก ในภาวะที่ธุรกิจต้องประสบกับสถานการณ์ไม่ปกติ ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามจากภายนอกหรือภายใน เช่น ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ ภัยคุกคามทางไซเบอร์ ภัยธรรมชาติ การจลาจล การประท้วง เป็นต้น การเกิดภัยคุกคามในแต่ละครั้งอาจสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ การบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business continuity management, BCM) ที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพจะทำให้องค์กรสามารถฟื้นฟูการดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว คณะกรรมการธรรมาภิบาลและบริหารความเสี่ยง จึงได้กำหนดแนวทางการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต เพื่อสร้างความพร้อมให้ระบบบริหารจัดการของกลุ่มราชพัฒนา สามารถตอบสนองต่อปัญหาและแก้ไขความไม่มีประสิทธิภาพของการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยการจัดทำแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business continuity plan, BCP) สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผล

บริษัท ราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ตระหนักถึงความสำคัญในการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management : BCP) เพื่อให้มั่นใจว่าหากเกิดวิกฤตการณ์หรือภาวะวิกฤตองค์กรจะสามารถฟื้นฟูการดำเนินงานให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) และสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ

วัตถุประสงค์
  • เพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจขององค์กร ปกป้องและรักษาความปลอดภัยต่อชีวิตของพนักงานและทรัพย์สินขององค์กร รวมถึงการให้บริการลูกค้า
  • เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือภัยพิบัติ โยกำหนดให้มีการจัดทำแผนป้องกันและจัดการภาวะวิกฤต
  • เพื่อให้มีกระบวการบริหารจัดการตอบสนองและเรียกคืนการดำเนินงานให้กลับสู่ภาวะปกติในระยะเวลาที่เหมาะสม
  • เพื่อลดระดับความรุนแรงของผลกระทบจากการหยุดชะงักในการดำเนินธุรกิจ บรรเทาความสูญเสียที่มีนัยสำคัญให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
แนวทางการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ
  • จัดให้มีระบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ ตามกรอบมาตรฐานการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ มีการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
  • จัดตั้งคณะทำงานเพื่อบริหารจัดการแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ ทำหน้าที่ควบคุมดูแลและสนับสนุนการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจในภาพรวมขององค์กร
  • ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้บริหารและพนักงานทุกหน่วยงานและทุกระดับมีความตระหนัก มีความรู้ความเข้าใจการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ ตลอดจนเสริมสร้างและพัฒนาความรู้ความสามารถของบุคลากรในการจัดเตรียมมาตรการรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อันนำไปสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิผล
  • ผู้บริหารและพนักงานทุกหน่วยงานและทุกระดับต้องมีส่วนร่วมในการปฏิบัติตามนโยบายการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจและดำเนินการเพื่อให้องค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ของการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ มุ่งเน้นทบทวน ปรับปรุงแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ และฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอจนเกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กร

การบริหารจัดการในสภาวะวิกฤต และการปลูกฝังการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCM) ให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร โดยบุคลากรทุกระดับเข้าใจถึงความสำคัญของการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCM) ตลอดจนบทบาท หน้าที่ ที่ทุกคนพึงปฏิบัติเพื่อให้การดำเนินธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ในยามที่เกิดเหตุวิกฤตกลุ่มบริษัทราชพัฒนาได้ดำเนินการจัดทำแผนและฝึกซ้อมการจัดทำแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP)อย่างต่อเนื่องปีละ 1 ครั้ง ผลการประเมินการฝึกซ้อมฯ ในปี 2567 อยู่ในระดับดีมาก (ร้อยละ 90)

ในปี 2567 บริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท สหโคเจน กรีน จำกัด และบริษัท สหกรีน ฟอเรสท์ จำกัด ได้ดำเนินการฝึกอบรมหลักสูตร "เทคนิคการจัดทำแผนและฝึกซ้อมการจัดทำแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) " โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในหลักการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ และสามารถนำมาปรับใช้ในการจัดทำแผน BCP ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และมีประสิทธิภาพ โดยมีผู้บริหารและพนักงานเข้าร่วมและผ่านการฝึกอบรม จำนวน 40 คน

มาตรฐานเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงด้านความยั่งยืน

บริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงด้านความยั่งยืนโดยใช้มาตรฐานสากลเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนโดยนำแนวปฏิบัติจาก GRI (Global Reporting Initiative) มาใช้เป็นกรอบในการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน โดยเน้นการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทุกมิติของธุรกิจ รวมถึงการบริหารจัดการผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยประยุกต์ใช้การบริหารความเสี่ยงขององค์กรกับความเสี่ยงที่เกี่ยวอข้องกบสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล ( ESG COSO ERM Framework) นอกจากนี้ บริษัทยึดถือแนวทาง เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals: UN SDGs) ซึ่งประกอบด้วย 17 เป้าหมายหลัก เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์และนโยบายขององค์กร

การบริหารความเสี่ยงด้านความยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญที่ธุรกิจต้องพิจารณาในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความต้องการพลังงานที่ยั่งยืนกำลังได้รับความสนใจอย่างมากทั่วโลก การทำธุรกิจโรงไฟฟ้าที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมไม่เพียงแค่เป็นการตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวดังนั้น บริษัทได้นำมาตรฐานและแนวทางที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลได้แก่ GRI Standards และUN Sustainable Development Goals (SDGs) มาบูรณาการการบริหารความเสี่ยงด้านความยั่งยืนในธุรกิจโรงไฟฟ้า

การใช้ GRI Standards ช่วยให้บริษัทสามารถประเมินและจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพลังงานที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยมลพิษ การจัดการขยะ และการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ ในด้านสังคม ธุรกิจโรงไฟฟ้าควรพิจารณาการเคารพสิทธิแรงงาน การมีส่วนร่วมของชุมชน และการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางสังคมที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ การบริหารความเสี่ยงด้านสังคมตาม GRI จะช่วยให้โรงไฟฟ้าสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมีความยั่งยืนกับชุมชนที่อยู่รอบข้าง รวมถึงการรับผิดชอบต่อความปลอดภัยและสุขภาพของพนักงานและชุมชนในพื้นที่ส่วนของการกำกับดูแล GRI Standards จะช่วยให้ธุรกิจโรงไฟฟ้ามีการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใสเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการบริหารจัดการภายในองค์กร การใช้ UN Sustainable Development Goals (SDGs) แม้ไม่ได้เป็นมาตรฐานการบริหารความเสี่ยงโดยตรง แต่การใช้ SDGs เป็นกรอบในการกำหนดกลยุทธ์จะช่วยให้ธุรกิจโรงไฟฟ้าเข้าใจถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเชิงกลยุทธ์และสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงด้านความยั่งยืนได้ดียิ่งขึ้น

ผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง

คู่ค้า
ชุมชนและสังคม
พนักงาน
ผู้ถือหุ้น
ลูกค้า
ภาครัฐ และหน่วยงานกำกับดูแล ที่เกี่ยวข้อง